วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีทำแกงส้มถั่วฝักยาว

อันว่าถั่วฝักยาวนั้น มีคุณค่าทางอาหารมากมาย ดังได้กล่าวไปแล้วนั้นในเรื่องผัดถั่วฝักยาว วันนี้ถั่วฝักยาวยังสามารถนำมาประกอบอาหารอื่นๆๆได้อีก หนึ่งในนั้นคือ แกงส้ม หลายๆท่านอาจจะไม่เคยเห็นแต่วันนี้ ได้เห็นและได้ทำด้วยตัวเองแล้ว เชิญมาพิสูจน์ฝีมือด้วยตัวของท่านเองเถิด

วันนี้เรามาเริ่มต้น ลงมือทำแกงส้มถั่วฝักยาวกัน ดีกว่า

ส่วนประกอบ

1. แกงส้มถั่วฝักยาวก้อต้องมีถั่วฝักยาวนะ เอาสัก 1 กำ10 บาทน่าจะพอ

2.พริกแกงส้ม 1/2 ช้อนแกง


ผักบุ้ง


3.ผักบุ้ง มากน้อยตามชอบ


ส้มมะขาม



4.เนื้อหมู หรือเนื้อสัตว์ที่ชื่นชอบ เช่นปลา

5.ซอสปรุงรส   น้ำปลา

6.ส้มมะขาม 1 ถ้วย


เติมพริกแกงส้ม






เริ่มทำกันเถอะ  ขั้นตอนแรก เราเอาพริกแกงส้ม ละลายในน้ำส้มมะขาม ตั้งไฟให้เดือด หลังจากนั้น



แกงส้มถั่วฝักยาว


ใส่เนื้อหมู พอเนื้อหมูสุกได้ที่  จากนั้นใส่ตามด้วย ถั่วฝักยาว  แล้วผ่อนไฟให้อ่อนลง ใส่ผักบุ้ง ลงไป  ชิมรสชาติ เติมซอสปรุงรสหรือน้ำปลา รสชาติเอาตามใจชอบ  เมื่อได้รสชาติตักใส่ถ้วย พร้อมรับประทาน


วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีทำกล้วยบวชชีอย่างง่ายๆ

อันว่ากล้วย แล้วชื่อชั้นนั้นเป็นพืชที่ทุกบ้านในชนบทนั้นต้องมี อยู่หลังบ้าน อย่างน้อยหนึ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็น กล้วย น้ำว้า กล้วยหอม กล้วยหักมุก กล้วยตานี หรือแม้แต่ในย่านชานเมืองที่มีบ้านจัดสรร รุกคืบเข้าไปในชนบท มักจะปลูกกล้วยบัวชมพูซึ่งเป็นกล้วยประดับ หรือกล้วยพัด ก้อเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง  แต่วันนี้เราจะมาทำกล้วย ที่เป็นของกินเล่นกัน เป็นของหวาน นั่นคือกล้วยบวชชีนั่นเอง

เราไปดูกันเลยดีกว่า นะครับ ว่าเราต้องเตรียมอะไรมั่ง

1.กล้วยน้ำว้า ห่ามๆ หรืองอมแล้วก้อได้แต่อย่างอมมากเดี๋ยวมันจะเละ  1 หวี


กล้วยน้ำว้าดิบ



2. กะทิ 1 กล่อง หรือถ้าเป็นกะทิคั้นเองได้ก้อจะสดกว่า

3.น้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลทรายแดง ถ้าเป็นน้ำตาลปี๊บจะได้รสชาติและกลิ่นที่หอมหวานกว่า

4. เกลือป่นหรือเกลือเม็ดก็ได้ ตามสะดวก


มาเริ่มทำกันเลย....ตั้งไฟ ใส่กะทิ  ให้ไฟอ่อนๆ ค่อยๆคน อย่ารอจนกะทิแตกมัน  (ท่านอาจารย์สอนว่า กะทิแตกมันเมื่อไร เลี่ยนครับ กินไม่อร่อย)  เอากล้วยน้ำว้าที่หั่นเป็นชิ้นๆแล้ว  ใส่ลงไป ถ้ากล้วย




กล้วยบวชชี



งอมมากก้อไม่ต้องรอจนเดือด สามารถใส่น้ำตาลปี๊บได้เลย แต่ถ้ากล้วยห่ามหน่อย ก้อรอให้กล้วยกับน้ำกะทิเข้ากันจนนิ่มเสียก่อนแล้วค่อยๆ  ใส่น้ำตาลปี๊บ ใส่เอาตามใจชอบเลย ใส่มากหวานมาก ใส่น้อยหวานน้อย เอาตามสะดวก ใส่เกลือตัดรสชาติหยิบมือนึง ไม่ต้องเยอะ เดี๋ยวเสียรส  จากนั้นชิมให้ได้รสชาติตามที่ต้องการ  ตักใส่จานให้ลูกหลานกินเล่น ....


เป็นอย่างไรล่ะครับกล้วยบวชชี ที่น่าอร่อย  ทำง่ายนิดเดียวเอง


วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีทำข้าวผัดทรงเครื่อง

ทุกวันนี้จะกินอะไรก้อต้องประหยัด รัดเข็มขัดกันท้องกิ่ว ชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องระมัดระวังค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ตัดอะไรที่ไม่จำเป็นตัดให้หมด กับข้าวกับปลาที่บ้านทำไว้กินยังไม่หมด อุ่นเก็บไว้กินมื้อต่อไปได้ วันนี้ก้อเช่นกัน  ข้าวเปล่าหรือข้าวสวยที่เรา หุงกินแล้ว มักจะเหลือกิน.....ทิ้งไปก้อเสียดาย แม่โพสพ จะว่าเอาได้ว่าเรากินทิ้งกินขว้าง อย่ากระนั้นเลย เรา เอาข้าวเปล่าที่เรากินไม่หมด มาทำเป็นข้าวผัดแสนเอร็ด อร่อยดีกว่า.....

มาดูกันว่าเราจะใช้ส่วนประกอบอะไรบ้าง


1.ข้าวเปล่าที่เหลือจากมื้อเช้า

หอมแดงซอย


2.หอมแดงซอย สัก 4 หัว  และรากผักชี หั่นฝอย

มะเขือเทศผ่าสี่


3.ไข่ไ่ก่ 1 ฟอง

4.มะเขือเทศหั่น 4 เสี้ยว

5.ต้นหอม ผักชี  สัก 1 กำ

ต้นหอม ผักชี 


6.เนื้อหมูหรือเนื้อสัตว์ ตามชอบ ควรรวนหมูให้สุกก่อนนำมาผัด

7.ซอสปรุงรส หรือซอสหอยนางรม 




วิธีการ ผัดกันนัวๆอย่างไว  เริ่มจากตั้งกะทะให้ร้อนใส่น้ำมันพืช   เจียวหอมแดง และต้นหอม  จากนั้นตอกไข่ใส่ลงไป

ผัดเครื่อง ผัดไข่


ในกะทะ  กวนไข่ผัดให้เข้ากับหอมแดง ใส่หมูหรือเนื้อสัตว์ที่เตรียมไว้   ผัดคั่วเนื้อหมูสักนิด.... จากนั้นใส่ข้าว


ใส่หอมแดงซอย

สวยที่เราเตรียมไว้ลงไป  ผัดพอข้าวสวยร้อน ใส่หอมแดงซอยที่เหลือลงไปให้หมด  จากนั้นใส่มะเขือ

เทศหั่นผ่าซีก ที่เราได้เตรียมไว้


ใส่มะเขือเทศ

    ผัดให้เข้ากันสักหน่อยจากนั้นต่อด้วยต้นหอมผักชีที่เหลือในตอนแรก ทั้งหมดนี้ ผัดให้เข้ากัน  ใส่ซอสปรุงรส ปรุงให้ได้

เสร็จ สุก พร้อมเสริฟ

ตามใจชอบ  อร่อยๆ แล้วก้อ อร่อยนัวๆ กับข้าวผัดเครื่องเต็มฝีมือเราเอง  อิ่มด้วยภูมิใจด้วย..

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีทำแกงกะทิหน่อสับปะรด

 คราวก่อน ตอนที่แล้ว เรานำเสนอแกงกะทิเนื้อ สับปะรดไปแล้ว วันนี้เราจะมาทำ หน่อกันบ้าง หน่อหรือจุกสับปะรดเป็นส่วนการขยายพันธ์เหมือนกัน แต่กำเนิดจากคนละที่แค่นั้นเอง คือ หน่อ จะแยกมาจากลำต้นของต้นเก่า คล้ายๆ  ตะไคร้ ส่วน จุก คืออยู่บนหัว ของผลสับปะรดที่ทุกท่านเคยเห็นเวลาไปซื้อสับปะรดที่ห้างนั่นแหละ คือจุกสับปะรด ส่วนหน่อนั้นส่วนมากถ้าไม่ใช่ชาวไร่หรือเกษตรกร มักจะไม่ค่อยได้เห็น หน่อ สับปะรดนั้น มักจะรูปร่างเรียวยาวกว่าจุก เพราะต้องเร่งการเจริญเติบโตนั่นเอง  จึงทำให้มี ลักษณะเรียว แต่ จุกนั้นอาศัยเนื้อและน้ำจากผลสับปะรดเป็นตัวเจริญเติบโต  หากเอาผลสับปะรดที่มีจุกไปวางทิ้งไว้ นานนับเดือน บางทีเกินครึ่งปี จุกนั้นก้อยังสดใหม่  สามารถ เจริญเติบโตหรือเกิดได้  เรียกว่า ตายยาก ตายลำบาก กันเลยครับ.......

เรามาดูส่วนอาหารของเราบ้าง  ที่ว่ามหัศจรรย์ของชาวบ้านคือ สับปะรดนั้นกินได้ทั้งต้น ทุกท่านคงเห็นแล้ว ใช่ว่าจะกินได้แต่ผลเท่านั้น  ตั้งแต่รากจรดยอดเลยทีเดียวสับปะรดเนี่ย..


จุกสับปะรด



ส่วนประกอบ...

1. หน่อหรือจุกสับปะรด 5-6 หน่อ

2. กะทิ  1 กล่อง


จุกสับปะรดที่พร้อมปรุง


3.เครื่องแกงหรือ พริกแกงเผ็ด

4.เนื้อสัตว์ตามชอบ เช่นหมู หรือ ไก่

5. ซอสปรุงรสต่างๆๆ


มาเริ่มกระบวนการปรุงกันเถอะ....


หั่นซอบบางๆๆ


เริ่มแรกเราก็ ต้องเอาจุกสับปะรด มาหั่นใบเลี้ยงด้านข้าง ออกให้หมดเหลือแต่แกนกลาง หั่นๆ ซอยๆๆให้เป็นชิ้นเล็กๆ

แช่น้ำไว้ก่อน  จากนั้นตั้งไฟ ใส่น้ำกะทิ ใส่พริกแกงเผ็ดลงไป คนให้พริกแกง ละลายเข้ากับน้ำกะทิ  จาก

นั้น รอให้น้ำกะทิเดือด  เอาเนื้อสัตว์ที่ต้องการใส่ลงไปก่อน แล้วจึงตามด้วย สับปะรดที่เราหั่นเตรียมไว้ ใส่ตามลงไป


ใส่หม้อพร้อมเดือด

ปรุงรสด้วย น้ำปลา หรือซอสปรุงรสต่างๆ ปรุงตามรสชาติที่เราต้องการ เปรี๊ยวหวาน มัน เค็ม เผ็ด เอา

ตามแต่รสชาติที่ทุกท่านชอบเลย ....

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีทำเครื่องแกง พริกแกง ต้นเรื่องของความอร่อย

วันนี้เรามาทำการ  ขัดตาทัพกันหน่อย ไม่ได้ทำกับข้าวหรอกนะครับ

พูดถึงกับข้าว ส่วนใหญ่แล้วกับข้าวที่ถูกพูดถึงมักจะมีเครื่องแกงมาผสมเป็นส่วนประกอบสำคัญอยู่ด้วยเสมอๆ เพราะเนื่องด้วยเป็นต้นเรื่องแห่งของอร่อยนั่นเอง  แม่ครัวทุกคนรู้ดีว่าถ้าทำอาหารคาว ถ้าไม่มีเครื่องแกงไปอย่างเดียว ทำกับข้าวมากมายหลายอย่างไม่ได้เลยทีเดียว สำหรับอาหารตำรับไทยนั้น เครื่องแกงเปรียบเสมือนเครื่องชูรส หลักและเป็นส่วนประกอบที่ต้องมีประจำครัวทุกครัวก็ว่าได้

ดังนั้นวันนี้ที่จะเขียนเรื่องเครื่องแกง ก้อจะเป็นสูตรเครื่องแกงโดยเฉพาะ เอาไว้ตำทำกินเองที่บ้าน ไม่ต้องง้อเครื่องแกงตลาด รสชาติเป็นไปตามใจคนปรุงอาหารเลยครับ

ส่วนประกอบของพริกแกง ตำได้ 1 ครกใหญ่ๆ

เครื่องแกงเผ็ด

1.ลูกกระวาน   1  เม็ด

2.กานพลู     เอาสัก 2-3ใบ

3.ลูกกำจัด     5-6 เม็ด

4.ผิวมะกรูด    เอาผิวนะครับ ทั้งลูก 1 ลูก



ใบกานพลู



5.หอม  กระเทียม  เอาทั้งหัว อย่างละ 1 หัว

6.กะปิ   ประมาณ 2 ช้อนแกง

7.ขิงแห้ง     2  หัว

8.ไพล      1 ข้อ

9.ข่า         2 หัว

10.ตะไคร้     ต้นอวบๆ ประมาณ 5-6 ต้น

11.พริกแห้ง     1  ขีด





ลูกกำจัดและขิงแห้ง

วิธีทำ ก้อคือ เตรียมครกครับ แล้วเรา ก็ตำ ๆๆ จบมะ ... อิอิ  ง่ายๆๆครับ ใส่ส่วนประกอบทั้งหมดที่เตรียมไว้...ใส่ลงไปที่ละอย่างๆๆ แล้วตำให้ละเอียดแค่นั้นเอง ดูเหมือนจะง่ายไปรึเปล่า...แต่โดยส่วนมาก ถ้าใช้ตำครก แม่ครัวพ่อครัว มักจะตำที่ยากก่อนเช่น พริกแห้ง เพราะมันแห้งไงเลยตำยาก แต่ตะไคร้ ผิวมะกรูด ....อย่างอื่นๆๆ  ตำง่ายก็ ใส่ทีหลังครับ..

วิธีทำยำหัวปลี ตอน..2


เมื่อได้ส่วนผสมครบแล้ว เอากะทิมาใส่หม้อ  เอาเครื่องแกงที่ตำเสร็จแล้ว ใส่ลงไป

ด้วย แล้วเอาทัพพีคนให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว...ใส่ถั่วคั่วที่ตำละเอียดแล้วลงไป  จากนั้นใส่ส้ม


มะขามที่


หัวปลีผ่าครึ่งซีก

เตรียมไว้ ลงไป อีก  คนให้เข้ากันอีกรอบ ย้ำนะคับว่าต้องคนทุกครั้งที่ใส่เครื่องปรุงส่วนผสม

ลงไป เคล็ดลับนิดหน่อยถ้าช่วยให้ชูรสให้เพิ่มขึ้นอีก ก็ควรทำนะ..อ่ะ...ถึงใหนแล้ว มัวแต่โม้

เรื่องเคล็ดลับรสมือ... เมื่อเครื่องลงไปอยู่ในหม้อกันหมดแล้วเสร็จสรรพ ก้อต้องปรุงรสกัน

หั่นซอยหัวปลี


น้ำตาล น้ำปลา เป็นพระเอกในหม้อ  แล้วหล่ะ คราวนี้..   .ใครชอบรสแบบไหน จะหนักเบาไปทาง  หวาน เปรี๊ยว เค็ม เผ็ด  ก้อขอเชิญคุณโยม ตามสบายเลยนะครับ เอาตามชอบ  แล้วแต่ศรัทธาของท่าน ฮ่าๆๆๆเมื่อได้เครื่องเต็มหม้อพร้อมปรุงรสเรียบร้อย ใส่หมูรวนลงไปให้มีเนื้อสัตว์บ้าง 



ใส่หัวปลีหลังหั่นทันที


 จะได้มีโปรตีนเสริมในเมนู ครบหลัก อาหาร 5 หมู่ซะหน่อย.. หลังจากนี้ พระเอกของเรา ที่โหมโรงมานานแล้ว  หัวปลีครึ่งซีกไงล่ะ มาๆ   ออกโรงซะที   หั่นหัวปลีใส่กันสดๆๆเลยนะ หั่นตามขวาง ค่อยๆๆหั่นไปใส่ไปพร้อม  คนให้จมลงในน้ำกะทิด้วย  ไม่เช่นนั้น หัวปลีที่หั่นถ้าไม่คนเลย   มันจะมีสีคล้ำไม่น่ากิน คนทำกับข้าวเป็นจะรู้ เรื่องนี้ดี




เสร็จแล้วเป็นอาหารอร่อย



เมื่อเราหั่นหัวปลีทั้งครึ่งซีกจนหมดแล้ว  ก้อพร้อมเสริฟทันที  กินกันสดๆๆอร่อยเหาะกันไปเลย